ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ปวดข้างเดียวที่ไม่ใช่ไมเกรน ปวดศีรษะคลัสเตอร์


ปวดหัวคลัสเตอร์ คือ อาการปวดศีรษะที่ปวดเป็นชุด ๆ (Cluster) อาการปวดจะรุนแรงมาก  ปวดร้าวขมับและกระบอกตา ปวดข้างเดียวคล้ายไมเกรน แต่จะปวดเป็นชุด ๆ เป็นช่วง ๆ มาๆ หายๆ ระยะเวลาปวดสามารถเกิดได้ตั้งแต่ 15 นาทีถึง 3 ชั่วโมง มักจะมีอาการร่วมด้วยคือน้ำตาไหล น้ำมูกไหล ข้างเดียวกับที่ปวด

ปวดหัวข้างเดียวที่ไม่ใช่ไมเกรน "ปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์"

 

 

สาเหตุของโรค

สำหรับสาเหตุจริง ๆ ของโรคนี้ในปัจจุบันก็ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่จากการที่อาการปวดเป็นรอบ ๆ แบบนี้ ก็เลยมีข้อสันนิษฐานว่ามีสาเหตุมาจากสมองส่วน Hypothalamus และ Biological clock ที่คอยควบคุมความต้องการพื้นฐานของร่างกาย เช่น  การเต้นของหัวใจ  อุณหภูมิ และฮอร์โมน ของร่างกายเราทำงานผิดปกติ ส่งผลให้ความดันภายในร่างกายซึ่งทำให้เส้นเลือดบริเวณศีรษะและใบหน้าขยายใหญ่ขึ้นจนไปเบียดทับเส้นประสาท ทำให้รู้สึกปวดหัวปวดตานั่นเองค่ะ


 

ลักษณะอาการปวด

อาการหลัก ๆ ของปวดคลัสเตอร์จะมี 3 อย่างค่ะ
1.ปวดศีรษะข้างเดียว โดยเฉพาะบริเวณรอบกระบอกตา หรือบริเวณขมับ อาจร้าวไปท้ายทอย หรือบริเวณอื่นได้ โดยจะปวดมาก หรือมากสุด ๆ เลยค่ะ
2.ปวดเป็นรอบ ๆ โดยจะปวดสั้น ๆ ถี่ ๆ รอบนึงประมาณ 15 นาที ถึง 3 ชม. ปวดทุกวัน เวลาเดิม ๆ โดยเฉพาะช่วงกลางคืนหลังนอนไปแล้ว 1-2 ชั่วโมง โดยวันนึงอาจปวดได้ 1-8 รอบเลยค่ะ
3.มีอาการอื่น ๆ ของระบบประสาทอัตโนมัติร่วมด้วยค่ะ เช่น ตาแดง ตาบวม หนังตาตก น้ำตาไหล น้ำมูกไหล คัดจมูก หน้าผากบวม หรือบวมทั้งหน้าก็ได้ค่ะ

ซึ่งอาการปวดก็จะปวดติด ๆ กันได้ อาจจะแค่ไม่กี่สัปดาห์ จนถึงเป็นปี แล้วก็เข้าช่วงหายปวด ก็จะไม่มีอาการเลยถึง 3 เดือน หรือนานกว่านั้นก็ได้ค่ะ


 

 

ใครเสี่ยงบ้าง

1. พันธุกรรม ถ้ามีคนในครอบครัวปวดหัวคลัสเตอร์ เราก็เสี่ยงมากขึ้นค่ะ
2. เพศชาย จะเป็นมากกว่าเพศหญิง ประมาณ 3 เท่าค่ะ
3. อายุ พบมากในช่วง 20-50 ปี (แต่จากประสบการณ์หมอจะเจอหลังอายุ 30 มากกว่าค่ะ)
4. ท่านที่สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์


 

การวินิจฉัยโรค ต้อง CT หรือ MRI ไหม

สำหรับการวิจัยฉัยว่าเป็นโรคนี้ หมอจะใช้อาการ 3 ข้อก่อนหน้านี้ ร่วมกับการตรวจร่างกาย และการทำ CT หรือ MRI เพื่อตัดโรคอื่น ๆ ในสมองออกก่อนค่ะ ถ้าเป็นปวดศีรษะคลัสเตอร์จะไม่มีความผิดปกติของสมองค่ะ ทำ CT หรือ MRI แล้วปกติ หมอจึงจะวินิจฉัยว่าเป็น ปวดศีรษะคลัสเตอร์ได้ค่ะ

นอกจากนี้ก็ยังต้องแยกโรคนี้จากอาการปวดศีรษะข้างเดียวอื่น ๆ เช่น ไมเกรนด้วยเพื่อให้ได้รับการรักษาที่ถูกต้องค่ะ ซึ่งจริง ๆ แล้วจากประสบการณ์หมอ ก็แยกไม่ยาก เพราะท่านที่ปวดคลัสเตอร์ก็จะมีอาการโรคนี้ชัดเจนมาก ๆ ค่ะ


 

วิธีการรักษา

สำหรับการรักษาปวดคลัสเตอร์ เป็นโรคที่หมออยากให้ทุกคนได้รับการรักษาที่ถูกต้องนะคะ เพราะโรคนี้เป็นโรคที่ปวดมาก ๆ จนมีคำเรียกว่าเป็น suicide headache เพราะมันปวดมาก ๆ จนอยากฆ่าตัวตายได้เลย ซึ่งท่านที่ได้รับการรักษาก็มักจะได้ผลลัพธ์ที่ดี โดยการรักษาจะควบคู่กันทั้งการรักษาช่วงที่มีอาการปวด และการรักษาด้วยการป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดค่ะ

รักษาตอนกำลังปวด

ในช่วงที่มีอาการปวด การใช้ยาพาราเซตามอล , หรือกลุ่มแก้อักเสบ nsaid อย่าง ibuprofen ทั่วไป มักจะไม่ได้ผล ต้องใช้ยาแก้ปวดเฉพาะกลุ่มเช่น triptans ค่ะ แต่ที่ได้ผลเร็วและดีมาก ๆ ก็คือการดม oxygen ค่ะ

บางท่านที่เป็นโรคนี้ก็อาจจะต้องซื้อ oxygen ไว้ในบ้านค่ะ เพราะการสูด oxygen 100% ที่ 12-15 lithe/minute จะช่วยให้อาการปวดหายได้ภายใน 15-20 นาทีเลยค่ะ ซึ่งเกิดจากหลาย ๆ กลไก ทั้งการทำให้เส้นเลือดที่ขยายเกิดการหดตัว ช่วยลดการหลั่ง CGRP และ substance P สารสื่อประสาทที่ทำให้เกิดโรค ลดการอักเสบของระบบประสาท และทำให้ hypothalamus ทำงานได้ปกติขึ้นด้วยค่ะ

การป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวด

การรักษาที่สำคัญของโรคนี้ คือการใช้ยาป้องกันไม่ให้ปวดด้วยค่ะ ซึ่งจะมียาหลากหลายมากค่ะในปัจจุบัน เช่น ใช้ยากลุ่ม Calcium channel blockers อย่าง verapamil , การใช้สเตียรอยด์ในช่วงสั้น ๆ และยากันชัก ซึ่งแพทย์ก็จะเป็นผู้พิจารณาเลือกใช้ยาให้ตามความเหมาะสมค่ะ

นอกจากยากินแล้วปัจจุบันก็มียาฉีดในกลุ่ม CGRP-antagonist ซึ่งมีวิจัยว่าช่วยในการป้องกันโรคนี้ได้ดีด้วยนะคะ แต่งานวิจัยอาจจะยังไม่มากพอให้การฉีดยาป้องกันเป็นการรักษาหลัก แต่จากประสบการณ์หมอก็พบว่า หลายท่านตอบสนองได้ดี โดยการฉีดเพียง 1 ครั้งต่อเดือน ติดกันประมาณ 3 เดือน ก็ช่วยให้อาการโรคดีขึ้นมาก แต่ก็ยังมีข้อเสียที่ยายังมีราคาที่ค่อนข้างแพง จึงต้องพิจารณาวิธีนี้ตามอาการไปค่ะ


 

ต้องปรับพฤติกรรมด้วย

นอกจากการใช้ยาแล้ว จริง ๆ การปรับพฤติกรรมเช่นการเลี่ยงสิ่งกระตุ้น งดเหล้า งดบุหรี่ นอนให้พอ นอนให้เป็นเวลา ดื่มน้ำให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็ช่วยให้อาการดีขึ้นได้เช่นกันค่ะ

สำหรับใครที่มีอาการอย่างที่หมอเล่ามา แล้วยังไม่เคยรักษาอย่างจริงจัง ก็อยากให้ไปปรึกษาแพทย์เพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง จะได้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้นนะคะ